ความงามข้ามกาลเวลา



                              ---------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ

เลน, จอห์น . ความงามข้ามกาลเวลา.--กรุงเทพฯ : มูลนิธิเด็ก.2550.336 หน้า.

                              ---------------------------------------------------------------------------------

  การเอ่ยถึงความงามในท่ามกลางภาวะสลับซับซ้อนของสังคมร่วมสมัยเยี่ยงปัจจุบัน อาจดูแยกห่างจากสภาพการณ์บ้านเมืองที่เน้นแข่งขันขับเคี่ยวกันอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องราวอันว่าด้วยการแสวงหาความงามเชิงสุนทรียธรรม ไปจนถึงนำเสนอกระบวนทัศน์สู่อารยธรรมใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้ คือแก่นสำคัญส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นั่นเอง

  พรสวรรค์ การฝึกฝน  และนิสัยในการสังเกตอาจช่วยให้ผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ได้เห็นความงาม แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องอาศัยความรู้สึกและความเอาใจใส่อย่างมากด้วย วิลเลียม เบลก เขียนไว้ในจดหมายถึงนักวิจารณ์คนหนึ่งซึ่งสนับสนุนเขา

   มีผู้คนอีกมากมาย ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนานา ไม่ว่าอาคารบ้านเรือน ดนตรี และผลงานศิลปะอื่นๆ พวกเขาเห็นว่าเรื่องความงามและความอุจาดนี้ได้มีการถกเถียงกันมานานในแง่ของคุณค่าทางสุนทรียะ แล้วใครล่ะจะตัดสินได้ว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม แต่ที่สำคัญก็คือ เพื่อนๆที่ใช้สมองโต้แย้งกันอย่างน่าหลงใหลแต่สรุปไม่ได้ (ซึ่งเป็นธรรมดาของการโต้แย้งตามแนวทางนี้)ครั้นเมื่อพวกเขามีประสบการณ์ด้วยมิติแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาก็เข้าใจอะไรได้มากขึ้น
   
     การไม่ใส่ใจต่อจิตวิญญาณ หรือปรนเปรอจิตวิญญาณด้วยความรุนแรง ความอุจาด และความเร้าใจที่ตื้นเขิน ก็เท่ากับคุณทำให้ความรัก จินตนาการ และการคิดใคร่ครวญหดหายไปเร็วเข้า คุณจึงหมดความใส่ใจในความละเมียดละไมและความงาม เท่ากับคุณหล่อเลี้ยงความหยาบกระด้างและความเจ็บป่วยทางจิต ตราบใดที่จิตวิญญาณยังอยู่ ความใส่ใจต่อความงามก็จะตื่นตัวตลอดกาล
   
    ที่มาของความงามก็เร้นลับพอกันส่วนใหญ่มักอ้างว่า ความงามแห่งโลกมีจุดเริ่มที่พระผู้สร้าง พวกเขาเชื่อว่า ฝีพระหัตถ์แห่งพระองค์ที่เราเห็นในดอกเดซี่ก็มิได้แตกต่างจากความงามของนกพิราบวิคตอเรียหัวหงอนหลากสีสันจากนิวกินี และสิ่งนี้ยังอาจพบได้ในดอกบลูเบลกลางป่าแห่งอังกฤษ เมื่อเอ่ยถึงดอกบลูเบล ครั้งหนึ่ง เยอราร์ด แมนลียื ฮอปกินส์ เคยกล่าวไว้ว่า ผมรู้จักความงามแห่งพระเจ้าจากดอกไม้นี้

    แม้ว่าการเข้าถึงความงามเป็นความเลื่อนไหลอย่างยิ่ง และมักเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปเร็วมากกระนั้นความงามก็มีลักษณะบางอย่างที่ถาวร ลักษณะหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือความกลมกลืน ระเบียบหรือความเชื่อมโยงที่ก้าวข้ามส่วนย่อยทั้งหลาย อัลดัส ฮักซ์ลีย์กล่าวไว้ว่า เราเห็นความงามในช่องว่างที่กลมกลืนระหว่างส่วนนานาในความเป็นทั้งหมด

    สิ่งที่งดงามสอนให้เราเห็นความงามยิ่งๆขึ้นไป มันสอนให้เราเห็นความอัศจรรย์ ซึ่งแน่นอน สิ่งนี้เองทำให้เรารู้จักนอบน้อม ความเร้นลับของความงามคือการที่เราไม่อาจวัดด้วยอุปกรณ์การวิเคราะห์แต่ความงามจะเผยตัวแก่เราอย่างที่สิ่งอื่นไม่อาจทำได้ นั่นคือแผ่เผยลำนำแห่งความจริง ที่โน้มน้าวให้เราตื่นตัว และเปิดใจให้แก่สิ่งที่ได้ยินได้เห็นและเป็นอยู่ตรงหน้า

   ตีตุส บัวคาร์ดท์ ผู้ได้ศึกษาสถาปัตยกรรมแห่งนี้อย่างละเอียดได้เขียนไว้ว่า การใช้เรขาคณิตเป็นแบบแผนหลัก ซึ่งยังเป็นความลับแต่ชิ้นงานทุกส่วนลงตัวอย่างกลมกลืน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์กันถึงที่สุดแล้วสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ได้แสดงมิติทางจิตวิญญาณ ซึ่งดังเต้ได้สรุปในวาทะต่อไปนี้ Le cose tute quante hann'ordine tra  loro : e questo e forma che I'universo a Dio fa simigliante.(ทุกสิ่งที่เป็นระเบียบเอื้อแก่กัน คือรูปแบบที่ทำให้จักรวาลเหมือนพระเจ้า)

    ส่วนใหญ่ความงามเสนอตัวต่อสายตา แต่ก็มีความงามที่ได้รับรู้ได้ด้วยหูด้วยเช่นกัน อย่างเช่นการประพันธ์ถ้อยคำ และดนตรีทุกชนิด เพราะท่วงทำนองและจังหวะดนตรีมีความงาม และจิตใจที่ยกตนก้าวพ้นอาณาจักรแห่งผัสสะสู่ระเบียบอันประเสริฐย่อมรู้จักความงามในการดำเนินชีวิต ในการกระทำ ในอุปนิสัยใจคอ ในการแสวงหาปัญญา และมีความงามในคุรความดี

    ช่วงเวลานับแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 มาจนถึงตอนต้นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยานั้น มหาสมุทรแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นในหัวใจแห่งวัฒนธรรมยุโรปความศรัทธาที่เคยมีมาแต่ก่อนเก่าเริ่มหมดมนต์ขลังเกิดความสนใจอย่างใหม่เกี่ยวกับโลกแห่งปรากฏการณ์ โลกตามความเป็นจริง โลแห่งจิตวิญญาณซึ่งเคยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เริ่มเปลี่ยนแปรเป็นโลกที่สรัทธาวัตถุ เห็นกันว่าโลกแห่งวัตถุคือขุมแห่งความจริง จิตใจที่กระหายอยากรู้เรื่องพระเจ้า เริ่มหันไปสนใจเงื่อนไขการดำรงชีวิตด้านวัตถุ และดิ้นรนขวนขวายเพื่อปรับปรุงสิ่งเหล่านี้

     เมื่อมนุษย์ขาดความสัมพันธ์กับธรรมชาติ กับฟ้าและดิน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งแวดล้อมให้เป็นธรรมชาติได้อย่างไร กล่าวคือไม่รู้ว่าจะจัดการกับโลกอย่างไรเพราะสองสิ่งเดียวกัน มนุษย์ทำลายระบบนิเวศพร้อมๆ กับทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง

           สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง 9 คำที่พ่อสอนดังนี้
1.ความเพียร 
    ถ้าเรามีความพยายามรู้จักหาวิธี รู้จักค้นคว้าด้วยตัวของเรา เราก็จะได้งามตามที่เราตั้งใจและจะทำให้เราได้ความงามที่เป็นแบบตัวของตัวเอง
2.ความพอดี 
   คนเราไม่จำเป็นต้องสวยตามคนอื่นแต่ขอให้สวยด้วยจิตใจที่ดี ไม่ต้องไปเริ่ดหรูตามกระแสขอให้สวยแบบธรรมชาติแค่นี้ก็งามแล้ว
3.ความรู้ตน 
   การที่เราอยู่อย่างสมถะจะเป็นสิ่งที่เรามีความสุขที่สุด แต่หากว่าการที่เราอยู่แบบสมถะแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนเราควรปรับปรุงแก้ไข
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้  
    ความงามมีหลายรูปแบบเสียงดนตรีก็คือความงามอีกแบบหนึ่งเราเล่นดนตรีให้ผู้คนฟัง คนฟังก็มอบความสุขความตั้งใจฟังให้กับเราเท่ากับเราแลกความสุขให้แก่กัน
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
   ความงามเกิดจากความคิดเราต้องมีความประณีตหากเราไม่มีความประณีต ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ความงามก็จะไม่เป็นความงาม เราจะต้องมีความอดทนกับสิ่งที่เราตั้งใจจะทำแล้วมันถึงจะเกิดผล
6.พูดจริงทำจริง 
   ในเมื่อเราเป็นฝ่ายทำร้ายธรรมชาติ เราก็ต้องสามารถทำให้ธรรมชาติกลับคืนมาได้เหมือนกันแค่ร่วมมือกันกับคนที่เรารู้จัก
7.หนังสือเป็นออมสิน 
  ความงามที่เราเห็นอยู่ในโลกปัจจุบันล้วนเกิดจากความตั้งใจ ความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ มีสติ ก็จะช่วยให้เราเห็นศิลปะที่สวยงามได้
8.ความซื่อสัตย์ 
    ความงามไม่จำเป็นต้องไปลอกเลียนแบบจากผู้อื่น แต่ความงามเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เราสามารถสร้างความงามนั้นได้ ความงามถึงจะมีหลายรูปแบบ
9.การเอาชนะใจตน
  งานศิลปะเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเป็นอย่างมาก แค่เรามีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการก็จะช่วยให้เราวาดสิ่งที่นึกออกมาได้แค่มีสมาธิ มีสติ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาแค่นี้ก็จะทำให้เราวาดภาพออกมาได้อย่างสวยงาม
   

     
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น